Eco-car คันแรกในไทย



การเกิดขึ้นของ Eco car เป็นคันแรกในประเทศไทย ครั้งแรกในโลกอย่าง All New Nissan March จึงเป็นสิ่งที่นอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกใน ระดับรัฐบาลแล้ว ยังส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่าที่ “เรา” ในฐานะคนใช้รถจะเคยคิดมาก่อน เพื่อให้เห็นภาพที่เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอย้อนกลับไปพูดถึงเงื่อนไข 4 ข้อของทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่กำหนดไว้ สำหรับรถประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากลหรือ ที่เรานิยมเรียกว่า อีโค คาร์ มีดังนี้


1. ด้านการประหยัดพลังงาน ต้องมีอัตราการใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร
2. ด้านสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นไปตามมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4 คือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาไม่เกิน 120 กรัม/ 1 กิโลเมตร
3. ด้านความปลอดภัย ต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าและด้านข้างตามมาตรฐาน UNECE หรือระดับที่สูงกว่า
4. ด้านขนาดเครื่องยนต์ต้องมีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และไม่เกิน 1,400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล




จากเงื่อนไขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงข้อดีของรถประเภทอีโค คาร์ ที่ส่งผลกับเรื่องใกล้ตัวของเราซึ่งชัดเจนอยู่แล้วคือ


1. การประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก เพราะรถยนต์ชนิดนี้มีอัตราการใช้น้ำมันที่ 5 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือคิดอีกแบบคือ น้ำมันแค่ 1 ลิตรแต่วิ่งได้ถึง 20 กิโลเมตร
2. เรื่องไกลตัวไปอีกหน่อยแต่กระทบกับเราและคนรอบข้างในระยะยาวก็คือ การปล่อยไอเสียสู่อากาศที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อนหรือโรคภัยไข้เจ็บ
3. อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ราคารถที่ต่ำลงจากมาตรการในเรื่องของภาษี

ซึ่งข้อดีของการใช้รถอีโค คาร์ ดูเหมือนจะมีไม่มากไปกว่า 3 ข้อที่ว่ามาสำหรับคนส่วนใหญ่ที่สนใจจะซื้อมาใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การใช้รถประหยัดน้ำมันนี้ยังมีข้อดีที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปซึ่งอาจจะเป็น เพราะรู้สึกว่าไกลตัวหรือใกล้ตัวเกินไปจนคุณคิดไม่ถึง ข้อดีเพิ่มเติมที่ว่าพอจะสรุปได้ดังนี้


1. ค่าบำรุงรักษาต่ำ
ด้วยการที่รถมีขนาดกะทัดรัด อะไหล่มีจำนวนน้อยชิ้นกว่ารถคันใหญ่ทั่วไป การบริโภควัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ จึงมีน้อยตามไปด้วย เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำยาที่ใช้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ต่างๆ น้ำยาหรือวัสดุขัดเคลือบสีตัวถังภายนอกและเฟอร์นิเจอร์ภายใน ยางรถยนต์ เป็นต้น ลองคำนวณคร่าวๆ เป็นค่าใช้จ่ายต่อปีเราก็จะพบว่า ประหยัดเงินไปได้มากอย่างที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน

2. Cost of Ownership ที่ต่ำ หรือค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการมีรถชนิดนี้ในครอบครองต่ำกว่ารถยนต์ชนิดอื่นๆ
ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าบอกว่า คุณใช้โรงเก็บรถหรือพื้นที่จอดรถในบ้านเล็กลง ค่าล้างรถลดลง ผ้าคลุมรถมีขนาดเล็กลง เสียเงินค่าติดฟิล์มกันแสงน้อยลง ที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ค่าประกันภัยที่ต่ำลง หรือแม้แต่ทรัพยากรเวลาในการซ่อมที่สั้นลงตามขนาดของรถนั่นเอง! และอื่นๆ อีกมายมายที่จะตามมา ตราบใดที่คุณยังมีรถคันนี้อยู่ในครอบครอง

3. ความคล่องตัวในการใช้งาน
ความคล่องตัวไม่ใช่เพียงแค่ขนาดของรถที่ทำให้คุณสามารถควบคุมได้ง่าย โดยเฉพาะการขับฝ่าการจราจรกลางใจเมืองอย่างกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่ๆเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความคล่องตัวในการหาสถานที่จอดซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่เมืองใหญ่ ต้องเผชิญอยู่

4. การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ด้วยการที่รถมีขนาดกะทัดรัด ควบคุมง่าย คล่องตัวสูง จึงทำให้ผู้ใช้งานทุกกลุ่มทุกวัยสามารถขับควบคุมได้ง่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการควบคุมรถยนต์ลงไปได้อย่าง มาก จากที่คุณอาจจะเคยมีปัญหาในการขับรถขนาดใหญ่ แต่สำหรับรถชนิดนี้แล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่น่าจะมีอยู่อีกต่อไป ใครๆ ก็ขับได้ ผลที่ตามมาก็คือ คุณสามารถใช้รถได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่ารถ 1 คันใช้ได้ทุกคน จะว่าไปข้อนี้ก็คือ หลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง

5. ภาพลักษณ์ต่อสังคม
เรื่องนี้น่าจะไกลตัวที่สุด จับต้องได้ยากที่สุด แต่สำหรับสังคมสมัยใหม่ การขับรถประหยัดน้ำมันไม่ได้สะท้อนถึงฐานะทางสังคมแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปโดยอัตโนมัติ และกระแสในเรื่องนี้ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะในต่างประเทศ ต่อไปเศรษฐีส่วนใหญ่อาจจะใช้ Nissan March ในการสัญจรในรัศมีที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต แทนที่จะขับ S-Class ไปจ่ายตลาด! นี่คือ การใช้งานในอีกบทบาทของรถชนิดนี้ นอกจากการใช้ขับไปทำงานในตัวเมือง ในชีวิตประจำวัน

 
 


 

 

 

ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ www.nissan.co.th


 


 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น